...เคยมั๊ย ที่เจอกับเหตุการณ์ "โลกกลมจัง"
เช่นเมื่อคุณไปเจอกับเพื่อนใหม่หรือคนรู้จักใหม่ๆ ที่คุยไปคุยมา คุณทั้งสอง
กลับมีเพื่อนเป็นคนคนเดียวกัน หรือถ้าเอาในโลก cyber การที่เปิดดู Myspace
หรือ Hi5 ของใครก็ไม่รู้ คุณก็อาจจะเห็นเพื่อนของคุณอยู่ในลิสต์...
...อ๊ะ คนนี่เป็นเพื่อนกับเพื่อนเราด้วย?
คุณๆอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างเรื่อง เหตุการณ์โลกกลม กับทฤษฎี 6 degree
of separation เพราะมันปรากฎอยู่ในสื่อ Popular culture หลายที่ด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็น หนัง เพลง ละครเวที ซีรีส์ (หนังเรื่อง Me & you & everyone we know
หนังญี่ปุ่นชื่อ A stranger of mine หรือแม้กระทั่ง Babel)
ดิฉันไปค้นดูเจ้าทฤษฎีที่ว่านี้อีกครั้งใน wikipedia (จริงๆมันเป็นข้อสันนิษฐาน
ดิฉันไม่รู้ว่าเรียกมันว่าทฤษฎีได้มั๊ย แต่ก็ดันเรียกจนติดปากแล้ว)
...เค้าว่ากันว่า ไม่ว่าใครก็ตามในโลกนี้ จะมีความสัมพันธ์กันไม่เกินคนรู้จัก 6 ขั้น
งงมั๊ยคะ?
มันหมายความว่า ถ้าดิฉันรู้จักกับคุณ นั่นคือเรารู้จักกันในขั้นที่หนึ่ง
คุณมีเพื่อน...สมมติว่าชื่อ นาย ก. ที่ดิฉันไม่เคยเจอ ไม่เคยรู้จัก
เขากับดิฉันมีมีความสัมพันธ์กันในขั้นที่สอง นาย ก. มีเพื่อนชื่อ ข.
คุณ ข. กับดิฉัน มีความสัมพันธ์ในขั้นที่สาม (ไล่ความสัมพันธ์ต่อกันไปได้เรื่อยๆนับเป็นขั้นๆไป)
สรุปคือ เค้าเชื่อว่า ไม่ว่าใครก็ตามในโลกนี้กับคุณ
จะนับความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ได้ไม่เกิน 6 ขั้น หรือ 6 คน
คุณกับจอร์จ บุช
คุณกับชาวพื้นเมืองมาไซที่กำลังล่าสัตว์อยู่ในแอฟริกาใต้
คุณกับหลิวเต๋อหัว
คุณกับใครก็ไม่รู้
(เป็นไปได้ไงหว่า?)
มีการสังเกตและศึกษา ความคิดในเรื่อง ความสัมพันธ์ของคนในโลกนี้
ผ่านทางการรู้จักกันอยู่หลายกรณีศึกษาด้วยกัน ก่อนที่จะมาถึง 6 degree นี้
เรียกกันหลายอย่างเช่น widespread credence, Shrinking world, Chains
ที่ดิฉันไม่แน่ใจว่า "ความเกี่ยวข้อง" หรือ"รู้จักกัน" นั้น จะต้องมีนิยามว่าอย่างไร?
น่าจะกว้างพอประมาณเช่น เคยเจอหน้า หรือเคยสนทนากัน (อาจเป็นแม่ค้าที่เราเคยซื้อของด้วย?)
หรือไม่ก็เป็นคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด
เมื่อปี 2001 เคยมีคนพยายามจะพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนี้ คือ อาจารย์ Duncan Watts
จาก มหาวิทยาลัย Columbia โดยใช้วิธีการผ่านทางอีเมล์ โดยใช้ข้อความอีเมล์
ที่เตรียมไว้ให้มีคนส่ง 48,000 คน ใน 157 ประเทศ แล้วเค้าก็พบว่าบุคคลเหล่านี้
มีความสัมพันธ์กันทางอีเมล์ ประมาณ 6 ขั้น (เขาไม่ได้บอกวิธีนับนะคะ)
ข้อสันนิษฐานเรื่อง 6 degree นี้จะเป็นจริง
หรือไม่...อาจไม่ใช่เรื่องสำคัญ
แต่ถ้าคนเราจะใช้ความสัมพันธ์ของมนุษย์
ขับเคลื่อนอะไรดีๆให้กับสังคมได้ ก็คงจะดีนะคะ
ที่มา http://www.oknation.net/blog/saisoi/2007/04/29/entry-1